ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี : ตำนานผู้สร้างโลกฉบับอีสาน



"ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี" เป็นตำนานและความเชื่อของชาวอีสานสมัยโบราณ ตำราบางเล่มก็เรียกว่า "ปู่สังกัสสา ย่าสังกัสสี" แต่ผู้คนจะคุ้นชื่อแรกมากกว่า"


ตำนานอีสานจะถือว่า ปู่ย่าคู่นี้ คือผีบรรพบุรุษผู้สร้างโลก และให้กำเนิดลูกหลานมนุษย์ทั้งหลายขึ้นมา โดยคนโบราณอีสานเชื่อว่า ตนสืบเชื้อสายมาจากต้นบรรพบุรุษนี้ จึงเรียกว่าปู่ กับ ย่า


และต้องเข้าใจก่อนว่า ภาษาอีสาน วิญญาณอะไรก็เรียกว่า "ผี" ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นการดูถูก และก็ไม่ได้หมายถึงวิญญาณของคนตาย หรือวิญญาณที่ไม่ดีเท่านั้น แต่ใช้หมายถึงวิญญาณของเทพหรือวิญญาณที่ดีก็ได้ ถ้าวิญญาณของปีศาจหรือวิญญาณที่ไม่ดี ในภาษาอีสานเรียก "สัง" หรือ "สาง" ต่อมาเลยผสมจนกลายเป็นคำเรียกติดปากว่า "ผีสาง" และเมื่อจะพูดถึง คนที่ตายไปแล้ว เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจว่าตายแล้ว และเป็นการให้เกียรติด้วย ก็จะมีคำนำหน้าชื่อผู้ตาย คือ "สัง" หรือ "สาง" ด้วยเช่น "สังพ่อใหญ่ลี" "สังบักลา" "สังอีลุน" เป็นต้น


ฉะนั้น ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ก็น่าจะแปลว่า ปู่กับย่าที่ตายไปแล้วที่ชื่อว่า "กะสา" กับ "กะสี" นั่นเอง


นิทานดึกดำบรรพ์เรื่องปู่สังกะสา ย่าสังกะสี นี้ เล่าสืบทอดจากคนแก่สู่เด็ก รุ่นแล้ว รุ่นเล่า


" ...เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ ย้อนหลังกลับไปนานโข ชนิดที่ว่านับตัวเลขไม่ได้ ครั้งนั้น สรรพสิ่งว่างเปล่า ไม่มีโลก ไม่มีดวงดาว ไม่มีวัตถุที่เป็นรูปร่าง มีแสงก็ไม่เห็นว่าเป็นแสง ธาตุ๔ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช มีเบาบางกระจัดกระจาย ไม่แสดงความเป็นธาตุของตนได้อย่างชัดเจน ความว่างเปล่า หมุนวนนานตราบนาน


ต่อมา กลุ่มธาตุต่างๆ เริ่มถูกหมุนวนเวียน ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นธาตุ๔ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น


เตโชธาตุหลอมรวมกัน ทำให้ห้วงอวกาศ มีจุดที่เย็น ร้อน ต่างกัน จุดที่เย็นจะผลักดัน จุดที่ร้อนจะดึงดูด วาโยธาตุหลอมรวมกัน และเคลื่อนที่ จากจุดที่เย็นกว่า เข้าหาจุดที่ร้อนกว่า กลายเป็นลมอาโปธาตุ รวมกันได้มากขึ้น กลายเป็นไอเมฆหมอก ลอยเคว้งคว้าง อยู่ในอากาศ เคลื่อนที่ไปตามแรงลม


ตราบนานเท่านาน จนไอเมฆหมอก หลอมรวมรับเอาสิ่งที่เหมือนตน สะสมมากขึ้น ในที่สุดกลายเป็นน้ำ เป็นห้วงน้ำใหญ่ในอากาศ เสมือนเป็นมหาสมุทรในอากาศ มหาสมุทรนั้น ลอยไปมาอยู่ในอากาศ นานตราบนาน


ปฐวีธาตุ อันเกิดจากเศษซากส่วนเหลือที่ธาตุอื่นๆ สลัดทิ้ง มีกระจัดกระจาย และรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นวัตถุที่มีความแข็งกระด้าง ก้อนเล็กๆ และเมื่อรวมกันก้อนโตขึ้นอีก วัตถุนั้นได้แยกออกจากกันเป็นสองส่วน เพราะแรงลมและแรงผลักดันแห่งเตโชธาตุฝ่ายเย็น


วัตถุทั้งสองส่วน ได้ลอยอยู่กลางมหาสมุทร ห่างกันออกไป เคว้งคว้าง พร้อมๆ กับดึงดูดเอามวลสารมารวมไว้ ทำให้วัตถุนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น แผ่นดิน หรือปฐวี ลอยไปลอยมากลางมหาสมุทร แผ่นดินทั้งสองผืน ก็ค่อยๆ สะสมรูปร่างให้โตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


จากนั้น ด้วยความสมดุลแห่งธาตุต่างๆ ได้ก่อกำเนิด พืชพันธุ์ เกิดต้นไม้
และแล้ว ที่แผ่นดินผืนหนึ่ง มนุษย์คนแรก ได้ถือกำเนิดจาก "ขี้ตมปวก" หรือก้อนเศษตะไคร้น้ำ ที่เป็นที่สะสมของมวลสารมากมาย มีเพศเป็นชาย ชื่อว่า "ไกยสา" ซึ่งต่อมา เราเรียกว่า "สังกะสา"


และ ที่แผ่นดินอีกผืนหนึ่ง ก็เกิดมนุษย์เพศหญิง จากขี้ตมปวก เช่นเดียวกัน ชื่อว่า "ไกยสี" ซึ่งต่อมาเราเรียกว่า "สังกะสี"


กาลต่อมา ลมได้พัดพาให้แผ่นดินสองผืน ลอยมาพบบรรจบกัน ทำให้สังไกยสา และสังไกยสี ได้พบกัน พูดคุยกัน ต่อมา ได้สังวาสกัน และให้กำเนิดมนุษย์ลูกหลาน ชายหญิงมากมาย ลูกหลานปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี ก็จับคู่สมสู่กัน มนุษย์ทั้งหลาย จึงเกิดมีมากมายทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และด้วยกิเลสตัณหา ที่มีพอกพูนขึ้น ทำให้ ต่อมา มีโรคเบียดเบียนกาย มีชรา และมีมรณะ


แม้ปู่สังกะสาและย่าสังกะสีเอง ก็มรณะ เช่นกัน.... "


ขอเดาว่า ตำนานแบบที่อ่านข้างบนอาจอ่านแล้วงงสำหรับหลายท่าน เนื่องจากเป็นภาษาแบบโบราณ ฉะนั้นจึงขอเล่าใหม่ และเล่าในตำนานในฉบับยาว อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตำนานนี้เป็นตำนานความเชื่อโบราณที่ถูกเอามาผสมและดัดแปลงแล้ว ตามแบบฉบับของศาสนาผสม ที่ต้องมีการถูกศาสนาใหม่เอามา "ผสมและกดทับ" (แบบที่เคยเขียนไปก่อนหน้านี้) ตำนานแบบศาสนาผสมเป็นดังนี้


"กาลครั้งหนี่งนานมาแล้ว ได้เกิดแผ่นดินและสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลกนี้ มีทั้งสวรรค์นรก อเวจี ครุฑ นาค เทวดา พระอินทร์ พระพรหม และพระอาทิตย์พระจันทร์แต่ยังไม่มีแสงส่องพื้นโลก ได้บังเกิดมีอากาศแปรปรวน มืดมัว นานเข้าก็บังเกิดมีเมฆ ควันลอยอยู่ในอากาศ มีลมแรงพัดเมฆควันลอยไปมา เคว้งคว้างไปทางเหนือทีหนึ่ง แล้วก็ลอยมาทางใต้หาทิศทางไม่ได้ เป็นอย่างนั้นอยู่นานแสนนานจึงได้บังเกิดเป็นน้ำ มหาสมุทร ในคัมภีร์เรียกว่า " ปฐมมูล ปฐมกัป "


ก่อนที่จะมีปลาอานนท์หนุนแผ่นดินนั้น มีเพียงมหาสมุทรลอยไปมาอยู่ในอากาศ ลมพัดลอยเคว้งคว้างไปมาหาทิศทางไม่ได้ ลมพัดน้ำอยู่นานจนเกิดเป็นแผ่นดินเล็ก ๆ คือ "แผ่นดินท่อฮอยไก้ ต้นไม่ ท่อลำเทียน" (เป็นคำในภาษาอีสาน หมายถึง แผ่นดินเท่ากับรอยกระจง และต้นไม้เท่าลำเทียน) ลมพัดจนแผ่นดินเล็ก ๆ นี้แยกออกเป็นสองส่วน ลอยไปในมหาสมุทร ล่วงเวลาต่อมาอีกนานแผ่นดินทั้งสองก็เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้น บังเกิดมนุษย์ผู้ชายอยู่บนแผ่นดินหนึ่งชื่อว่า "ปู่สังไกยสา" และเกิดมนุษย์ผู้หญิงอีกแผ่นดินหนึ่งชื่อว่า "ย่าสังไกยสี"


มนุษย์คู่แรกทั้งสองนี้เกิดจากการรวมตัวของสรรพสิ่งต่างๆ ปั้นรูปสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ มนุษย์คู่แรกทั้งสองนี้ได้สร้างสรรพสิ่งขึ้นในโลก
อยู่ต่อมาเกิดลมพายุพัดพาแผ่นดินทั้งสองลอยไปตามน้ำมาพบกัน ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี ก็ได้พูดคุยกัน และอยู่ด้วยกัน แล้วจึงคิดจะสร้างมนุษย์ชายหญิงเพิ่มเติมเพราะรู้ว่าการที่มีผู้คนมาก ๆ จะสนุกสนานกว่าอยู่ผู้เดียวเหมือนแต่ก่อนที่แผ่นดินยังแยกกัน มนุษย์ชายหญิงที่ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี สร้างขึ้นมามากมาย รวมกันอยู่


ครั้นอยู่รวมกันนานวันเข้า ธรรมชาติก็ดลใจให้เกิดตัณหาแก่มนุษย์ทั้งหลาย คนที่มีตัณหาสมสู่กันจึงมีลูกหลานสืบต่อมา เพราะมีตัณหาสมสู่กันมนุษย์ที่ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี สร้างมานั้นจึงมีรูปร่างเปลี่ยนเป็นแก่ชรา และมนุษย์ชายหญิงก็ยิ่งมากทวีคูณสืบต่อมาถึงทุกวันนี้


ในตำนานยังเล่าถึงการสร้างโลกสร้างจักรวาลของปู่ย่าทั้งสองว่า ครั้นสร้างมนุษย์ชายหญิงแล้ว ปู่ย่าทั้สองก็สร้างเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของจักรวาล มีทวีปทั้งสี่ คือ ชมพูทวีป อุตรกุรุทวีป บรพวิเทหทวีป
และ อมรโคยานทวีป


อยู่ทั้งสี่ทิศของเขาพระสุเมรุ สร้างเขาสัตภัณฑ์คีรี 7 เทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ (มี เนมินธร ยุคธร อิสินธร กรวิก สุทัสน์ อัสกัณ และวิตกคีรี) มีแม่น้ำล้อมรอบเขาทั้งเจ็ดคาดว่าจะเป็นทะเลสีทันดร หลังจากนั้นก็ให้พระอาทิตย์และพระจันทร์ส่องแสงและเดินรอบจักรวาล ทวีปทั้งสี่ก็ได้รับแสงอาทิตย์โดยครบถ้วน แล้วจึงเกิดราศี 12 ราศี และฤดูทั้งสาม มีพระอาทิตย์เป็นตาโลกมาตั้งแต่ปฐมกัป ชักรถผ่านเขาพระสุเมรุผ่านจักรวาลโดยรอบ และเดินเร็วกว่าพระจันทร์ พระจันทร์จึงถูกพระอาทิตย์บังแสงเกิดเป็นเดือนดับ (ข้างแรม) และหากพระอาทิตย์ไม่บังแสงจันทร์จะเกิดเดือนเพ็ญ (เดือนเต็มดวงในวันเพ็ญ)


ณ ชมพูทวีป ที่เชิงเขาพระสุเมรุมีทางน้ำไหลออกมา 4 ทาง คือ ทางปากราชสีห์ ทางปากช้างแก้ว ทางปากม้าและทางปากวัวอุสุภราช ไหลรอบเขาพระสุเมรุออกมาผ่านโขดหิน ภูผาจนมาเป็น แม่น้ำมูล แม่น้ำโมง และแม่น้ำอโนมา มีสระอโนดาตน้ำใสสะอาด พื้นเป็นทรายเงินทรายทองริมท่าน้ำ ปู่สังไกยสาย่าสังไกยสีได้ตกแต่งเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทโธ (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แต่ไม่ได้ตั้งตนเป็นศาสดาสั่งสอนพระธรรม) และพวกฤาษี


ณ ที่แห่งนั้นได้เกิดดอกไม้งามสะพรั่งในบริเวณฝั่งน้ำ ทั้งแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิมหาสาคเรศ น้ำไหลเรื่อยต่อไป แผ่กว้างสาขาอยู่ในชมพูทวีป มีแม่น้ำของ(โขง) เป็นเค้าในภาคพื้นชมพูทวีปและมีเกาะลังกาอยู่ฟากน้ำ ปู่สังไกยสาย่าสังไกยสี เป็นสามีภรรยาที่สร้างสรรพสิ่งในโลก และได้สั่งสอนให้มนุษย์โลกตั้งตนอยู่ในศีล สร้างกุศลบำเพ็ญ เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ หากใครอยากจะไปเกิดอยู่ในนรกอเวจี ก็ให้สร้างกรรมเวร จะได้จมอยู่ใต้นรกอเวจี


ว่าไปแล้วอาจกล่าวได้ว่า ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ก็คือ ตำนานเรื่องอาดัมกับอีฟ ฉบับอีสานนี่เอง


ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์




(ภาพต้นมะม่วงต้นหนึ่งที่เผอิญมีรากงอกออกมาอย่างพิศดารจนดูคล้ายอวัยวะเพศชาย ชาวบ้านก็เลยพากันมาบูชา โดยติดป้ายระบุไว้ด้วยว่า นี่คือ "ปู่สังกะสา")

Comments

Popular posts from this blog

วิธีลงทะเบียนรับโปรแกรม CLIP STUDIO PAINT PRO ฟรี สำหรับผู้ที่ไช้ Wacom Intuos