Holier Than Thou ด้านมืดของนักบุญ
บนโลกใบนี้ ตั้งแต่นานมาแล้ว โลกได้สร้างวีระบุรุษ นักคิด และบุคลที่มีชื่อเสียงไว้มากมาย ซึ่งอย่างไรก็ตามพวกเขาล้วนเป็นมนุษย์เหมือนๆกับเรา มีทั้งด้านดีและด้านสว่าง และพวกเขาก็ทำผิดพลาดได้เหมือนๆกับเรา แต่ก็มีบางคนที่ถูกยกย่องราวกับเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ พวกเขาถูกเรียกว่านักบุญ กลายเป็นว่าพวกเขาพิเศษกว่าเรา ไร้ความผิดพลาด ซึ่งในตอนนี้มีคนได้หยิบยกคนมา 3 คน ซึ่งก็คือ แม่ชีเทเรซ่า มหาตมะ คานธี และดาไลลามะ ท่านทั้งสามคนที่ได้กล่าวมา ได้ทำได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก เป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นหลัง และอีกหลายๆอย่าง………………………ซึ่งมันก็เป็นความจริง
แต่พวกเขาสมบรูณ์แบบจนถึงขั้นเรียกว่า“นักบุญ”จริงๆเหรอ
หลายๆคนที่อ่านอาจจะเกิดอาการ แปลกใจ อยู่ล่ะก็มันก็ไม่ใช้เรื่องแปลกอะไร แต่อย่างไรก็ตาม“ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เป็นทัศนคติส่วนบุคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน”คุณจะเชื่อหรือไม่ผมบังคับท่านผู้อ่านไม่ได้
การเปิดโปงด้านมืดของทั้งสามท่านนั้น ไม่ใช่มาจากฝีมือของผม แต่มาจากรายการสาระคดีรายการหนึ่ง ที่มีชื่อว่า “Penn & Teller Bullshit!” เป็นรายการสารคดีแบบจบในตอน เนื้อหาที่ผมเขียนอยู่นี้นำมาจากตอนๆหนึ่ง ใน Season 3 ที่มีชื่อตอนว่า Holier Than Thou เป็นตอนที่ผมชื่นชอบมากที่สุดจึงเห็นว่าน่าสนใจจนต้องหยิบยกมาเขียนดู
เอาล่ะเกริ่นกันไปพอหอมปากหอมคอเรากลับเข้าสู่เรื่องที่จะพูดถึงเกี่ยวกับ เมชีเทเรซ่า มหาตมา คานธี และดาไลลามะ ในอีกด้านที่หลายๆคนอาจยังไม่เคยรู้และอาจจะมีคำถามกับคำว่า “นักบุญ” ขึ้นมาบ้าง ผมขออนุญาตเขียนมาจากตอนๆหนึ่งในสารคดีที่ได้บอกตอนต้นไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ดูสารคดีรายการนี้ มันน่าสนใจดี และน่าจะได้อะไรๆไปขบคิดได้ด้วย
เริ่มด้วยบุคลแรกกันก่อนนั้นก็คือ คุณแม่ชีเทเรซ่า แต่หลายๆ คนอาจจะยังแค่คุ้นๆชื่อหรือ อาจจะไม่มีใครรู้จักท่าน งั้นเรามารู้จักกับเธอแบบคร่าวๆแล้วกัน
คุณแม่ชีเทเรซาท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ช่วยเหลือและผู้ต่อสู้เพื่อคนยากไร้ทั้งในประเทศที่ยากจนและร่ำรวย และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1979 และหลังจากที่ท่านถึงแก่กรรม สันตะสำนักโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ได้ประกาศให้ท่านเป็น "บุญราศี" ซึ่งเป็นขั้นเริ่มต้นของการเป็นนักบุญ มีนามว่า "บุญราศีเทเรซาแห่งกัลกัตตา"
แต่พวกเขาสมบรูณ์แบบจนถึงขั้นเรียกว่า“นักบุญ”จริงๆเหรอ
หลายๆคนที่อ่านอาจจะเกิดอาการ แปลกใจ อยู่ล่ะก็มันก็ไม่ใช้เรื่องแปลกอะไร แต่อย่างไรก็ตาม“ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เป็นทัศนคติส่วนบุคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน”คุณจะเชื่อหรือไม่ผมบังคับท่านผู้อ่านไม่ได้
การเปิดโปงด้านมืดของทั้งสามท่านนั้น ไม่ใช่มาจากฝีมือของผม แต่มาจากรายการสาระคดีรายการหนึ่ง ที่มีชื่อว่า “Penn & Teller Bullshit!” เป็นรายการสารคดีแบบจบในตอน เนื้อหาที่ผมเขียนอยู่นี้นำมาจากตอนๆหนึ่ง ใน Season 3 ที่มีชื่อตอนว่า Holier Than Thou เป็นตอนที่ผมชื่นชอบมากที่สุดจึงเห็นว่าน่าสนใจจนต้องหยิบยกมาเขียนดู
เอาล่ะเกริ่นกันไปพอหอมปากหอมคอเรากลับเข้าสู่เรื่องที่จะพูดถึงเกี่ยวกับ เมชีเทเรซ่า มหาตมา คานธี และดาไลลามะ ในอีกด้านที่หลายๆคนอาจยังไม่เคยรู้และอาจจะมีคำถามกับคำว่า “นักบุญ” ขึ้นมาบ้าง ผมขออนุญาตเขียนมาจากตอนๆหนึ่งในสารคดีที่ได้บอกตอนต้นไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ดูสารคดีรายการนี้ มันน่าสนใจดี และน่าจะได้อะไรๆไปขบคิดได้ด้วย
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เริ่มด้วยบุคลแรกกันก่อนนั้นก็คือ คุณแม่ชีเทเรซ่า แต่หลายๆ คนอาจจะยังแค่คุ้นๆชื่อหรือ อาจจะไม่มีใครรู้จักท่าน งั้นเรามารู้จักกับเธอแบบคร่าวๆแล้วกัน
คุณแม่ชีเทเรซาท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ช่วยเหลือและผู้ต่อสู้เพื่อคนยากไร้ทั้งในประเทศที่ยากจนและร่ำรวย และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1979 และหลังจากที่ท่านถึงแก่กรรม สันตะสำนักโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ได้ประกาศให้ท่านเป็น "บุญราศี" ซึ่งเป็นขั้นเริ่มต้นของการเป็นนักบุญ มีนามว่า "บุญราศีเทเรซาแห่งกัลกัตตา"
แต่ก่อนจะเริ่มเปิดเปิดเผยเบื้องหลังของท่านเรามาฟังความเห็นจาก บิล เดอรเลนฮิล ประธานแห่งคาโธลิคและสิทธิมนุษยชนเขาได้แสดงความต้องการเชิดชูความตั้งใจเพื่อสันติภาพของคุณแม่เทเรซ่า ว่า “ผมไม่เคยเห็นไครน่าเคารพนับถือมากเท่าคุนแม่เทเรซ่าเลยจากผู้คนทั่วโลกและผู้คนที่แตกต่างกัน และศาสนาที่แตกต่างกัน”
และกล่าวตบท้ายว่า “โลกควรมีคนแบบท่านมากกว่านี้เพื่อเป็นตัวอย่าง แต่เราก็ยังไม่พบใครเลย”
แต่นี้ก็เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่ง (ในด้านที่ชื่นชม) เรามาฟังอีกความเห็นจาก คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น ผู้เขียนหนังสือ The Missionary Position เกี่ยวกับการสืบค้นเรื่องของคุนแม่เทเรซ่า เขาเปรียบได้กับคู่อาฆาตของคุนแม่และโบสคาธอลิค
และกล่าวตบท้ายว่า “โลกควรมีคนแบบท่านมากกว่านี้เพื่อเป็นตัวอย่าง แต่เราก็ยังไม่พบใครเลย”
แต่นี้ก็เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่ง (ในด้านที่ชื่นชม) เรามาฟังอีกความเห็นจาก คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น ผู้เขียนหนังสือ The Missionary Position เกี่ยวกับการสืบค้นเรื่องของคุนแม่เทเรซ่า เขาเปรียบได้กับคู่อาฆาตของคุนแม่และโบสคาธอลิค
“ผมอยากจะอธิบายว่าเทเรซ่านั้นเป็นเรื่องหลอกลวง และแอบอ้างเพื่อให้เกิดความหลงผิด”
“มีหลายคนคิดว่ารู้หมดทุกอย่างเกี่ยวกับเทเรซ่า แต่มันผิดพวกเขารู้ไม่หมดทุกอย่าง และนี่เป็นเรื่องความสำเร็จทางอารมณ์ในศัตวรรษที่ 20 เพราะเธอทั้ง โกงกิน ป่าเถื่อน โหดร้าย และอำมหิต” เขายังกล่าวต่ออีกว่า “ถ้าคุณไปที่กัลกัตตาก็อาจมีโอกาส 50% ในการพบเธอโดยบังเอิญ อาจจะเจอในรูปของการพบปะกับแนนซี่ เรแกน หรือกับ เจ้าหญิงไดอาน่าหรือครอบครัว ดูวาลีเอ ในไฮติ”
“มีหลายคนคิดว่ารู้หมดทุกอย่างเกี่ยวกับเทเรซ่า แต่มันผิดพวกเขารู้ไม่หมดทุกอย่าง และนี่เป็นเรื่องความสำเร็จทางอารมณ์ในศัตวรรษที่ 20 เพราะเธอทั้ง โกงกิน ป่าเถื่อน โหดร้าย และอำมหิต” เขายังกล่าวต่ออีกว่า “ถ้าคุณไปที่กัลกัตตาก็อาจมีโอกาส 50% ในการพบเธอโดยบังเอิญ อาจจะเจอในรูปของการพบปะกับแนนซี่ เรแกน หรือกับ เจ้าหญิงไดอาน่าหรือครอบครัว ดูวาลีเอ ในไฮติ”
แม่เทเรซ่ากับภรรยาของดูวาลีเอ ในปี 1991
พอได้ยินชื่อนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ดูวาลีเอ (François Duvalier) ประธาณาธิปดีของไฮติ คือผู้ก่อเหตุข่มขืนและปล้นฆ่าตลอดชายแดนตาฮิเตียน (เสียชีวิตไปหลายหมื่น) ที่ก่อการร้ายและข่มขู่ทุกคนแบบกฎเหล็กแสนโหด ใช้นโยบายชาตินิยมคนดำ (black nationalism) และความเชื่อของลัทธิวูดู (Voodoo) ในการครองอำนาจของตนเอง
แต่คุณแม่เทเรซ่ากลับถ่ายรูปกับภรรยาเขา ในปี 1991อ้างว่าครอบครัวดูวาลีเอสงสารคนจนและคนจนก็รักพวกเขา ที่ดังไปกว่านั้น คำกล่าวที่ว่า “เป็นบทเรียนที่สวยงามของชั้นจริงๆ”
อย่างไรก็ตาม บิล เดอรเลนฮิล ก็ยังบอกว่า “ท่านพยายามขอร้องให้คนร่ำรวยช่วยบริจาคเงินให้สังคมเพื่อเราจะนำไปช่วยผู้ทียากจน และจัดตั้งโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าตลอดจนที่พักพิงต่างๆ”
อืม......ท่านใช้เงินพวกนั้น เอามาไห้คนยากจนหรือนี่…….ไม่นะ
แต่ คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น กลับเห็นแย้งว่าว่า “ถ้ารายการกุศลใหญ่ๆเกิดจากคำสั่งของท่านล่ะก็ผมไม่เคยได้ยินเลย”
ถ้าพูดถึงเรื่องเงิน คุณแม่รวบรวมเงินจำนวนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยมูลค่านำกลับไปยังอินเดียชาวตาฮิติทั้งหลายรู้หรือไม่ว่ามีคนสร้างงานเพื่อเงินของพวกคุณและก็ขโมยเอามันกลับไปโดยรัฐบาลของพวกเขาเอง และทางโบสคาโธลิคจะปกป้องเรื่องนี้ยังไง ตามปกติแล้วในเรื่องเหลวไหลแบบนี้ตอนจบมันมักจะให้เหตุผลว่าเดินสายกลางดีกว่า
“เอาล่ะท่านไม่ได้ทำแบบนั้น ท่านก็แค่จับมือ ผมหมายถึงว่าแสดงความจริงใจ และถ้าคุณอยากจะได้เงินจากใคร พวกคนจนเหมือนเหรอ? หรือพวกชนชั้นกลาง? ก็ต้องจากพวกคนรวยสิ” บิล เดอรเลนฮิล กล่าว
ก็ดูจะเป็นเหตุผลที่ดี แต่ คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น ไม่ได้คิดเช่นนั้น
“ผมเองรู้สึกตกใจกับคำแก้ตัวแบบง่ายๆ สำหรับพวกมหาโจรเท่านั้น และถ้ามีเรื่องแบบนี้มันก็อาชญากรรมที่ไม่มีการเสียชีวิตนั่นเอง” คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่นกล่าว
คุณแม่ชียังคงยินยอมรับเงินหลายล้านดอนล่า จาก ชาล คีตติ้ง (Charles Keating) ที่พันธบัตรของเขามีปัญหา และทำให้ผู้คนกว่า21,000 ราย ขาดทุน เงินที่พวกเขาอดออมมาตลอดชีวิต
แต่คุณแม่เทเรซ่ากลับถ่ายรูปกับภรรยาเขา ในปี 1991อ้างว่าครอบครัวดูวาลีเอสงสารคนจนและคนจนก็รักพวกเขา ที่ดังไปกว่านั้น คำกล่าวที่ว่า “เป็นบทเรียนที่สวยงามของชั้นจริงๆ”
อย่างไรก็ตาม บิล เดอรเลนฮิล ก็ยังบอกว่า “ท่านพยายามขอร้องให้คนร่ำรวยช่วยบริจาคเงินให้สังคมเพื่อเราจะนำไปช่วยผู้ทียากจน และจัดตั้งโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าตลอดจนที่พักพิงต่างๆ”
อืม......ท่านใช้เงินพวกนั้น เอามาไห้คนยากจนหรือนี่…….ไม่นะ
แต่ คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น กลับเห็นแย้งว่าว่า “ถ้ารายการกุศลใหญ่ๆเกิดจากคำสั่งของท่านล่ะก็ผมไม่เคยได้ยินเลย”
ถ้าพูดถึงเรื่องเงิน คุณแม่รวบรวมเงินจำนวนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยมูลค่านำกลับไปยังอินเดียชาวตาฮิติทั้งหลายรู้หรือไม่ว่ามีคนสร้างงานเพื่อเงินของพวกคุณและก็ขโมยเอามันกลับไปโดยรัฐบาลของพวกเขาเอง และทางโบสคาโธลิคจะปกป้องเรื่องนี้ยังไง ตามปกติแล้วในเรื่องเหลวไหลแบบนี้ตอนจบมันมักจะให้เหตุผลว่าเดินสายกลางดีกว่า
“เอาล่ะท่านไม่ได้ทำแบบนั้น ท่านก็แค่จับมือ ผมหมายถึงว่าแสดงความจริงใจ และถ้าคุณอยากจะได้เงินจากใคร พวกคนจนเหมือนเหรอ? หรือพวกชนชั้นกลาง? ก็ต้องจากพวกคนรวยสิ” บิล เดอรเลนฮิล กล่าว
ก็ดูจะเป็นเหตุผลที่ดี แต่ คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น ไม่ได้คิดเช่นนั้น
“ผมเองรู้สึกตกใจกับคำแก้ตัวแบบง่ายๆ สำหรับพวกมหาโจรเท่านั้น และถ้ามีเรื่องแบบนี้มันก็อาชญากรรมที่ไม่มีการเสียชีวิตนั่นเอง” คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่นกล่าว
คุณแม่ชียังคงยินยอมรับเงินหลายล้านดอนล่า จาก ชาล คีตติ้ง (Charles Keating) ที่พันธบัตรของเขามีปัญหา และทำให้ผู้คนกว่า21,000 ราย ขาดทุน เงินที่พวกเขาอดออมมาตลอดชีวิต
(ชาล คีตติ้ง คือ นักธุรกิจมหาเศรษฐีสุดอื้อฉาว ซึ่งถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงเกี่ยวกับหลักทรัพย์และการลงทุน เป็นต้นเหตุที่ทำให้ จอห์นแมคเคน (John McCain) ชวดโอกาสการเป็นประธานาธิบดีปี 2000)
“เมื่อท่านได้เงินจาก ชาล แล้วเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเกี่ยวกับพันธบัตรของเขาที่กำลังล้มเหลว ขาดทุน แล้วแม่ชีจะทำอะไรได้ เงินก็ถูกไช้ไปหมดแล้วก่อนที่จะรู้ภายหลังว่าชายคนนี้หลอกลวง”
ก็น่าสงสัยแล้ววาติกันเขียนเช็คคืนให้ไม่ได้จริงเหรอ อืม… มันมีบางอย่างที่เป็นบาปบริสุทธิ์ซ่อนอยู่ คนอย่าง บิล มองเห็นแต่ความดีของคุณแม่เท่านั้น ....“ผลงานเธอก็เยอะเธอได้รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ได้รับรางวัลกว่า 120 ราลวัลจากนานาชาติในหัวข้อต่างๆ เธอเป็นผู้ที่เปิดเผยที่สุดในหมู่คนอินเดียยกเว้น มหาตมะ คานธี เท่านั้น” (มีการกล่าวถึง”มหาตมะ คานธี”เดี๋ยวเราจะพูดถึงต่อจบเรื่องแม่ชีเทเรซ่า)
และในโลกของการเดินทางของคุณแม่ ท่านหาเงินได้มากกว่า 50 ล้านดอลล่า และเงินพวกนั้นหายไปไหนหมด เรามาตามรอยของเงินกันดีกว่า
การจะเปิดเผยเรื่องเงินของแม่ชีเทเรซ่านั้น เรามีผู้ที่จะมาเปิดเผยคุนแม่ชี เทเรซ่า อีกคน คนนั้นคือ ดร.เอารูส ชานเดอร์จี (Aroup Chatterjee) ผู้แต่งหนังสือ Mother Teresa The Final Verdict (หาซื้อได้ที่ Amazon) กล่าวว่า “เงินของเมชีเทเรซ่า ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในกิจกรรมทางศาสนา”
Mother Teresa The Final Verdict
“แต่ไม่ได้แจกจ่ายกับคนจน ถ้าคุณลองมองดูองค์กรหรือหน่วยงานทั้งหมดทั่วโลกคุณจะพบว่าครึ่งหนึงหรือมากกว่านั้น เป็นสถานที่ของชีและนักบวชทั้งนั้นเลยครับ”
จากข้อมูลของ ดร.เอารูส ชานเดอร์จี คุนแม่เทเรซ่า สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเอาไว้มากมายทั่วโลก มากกว่า 100 แห่ง และใช้ชื่อของคุณแม่และองค์กรศาสนาที่ชื่อ Missionaries of Charity
“ผมไม่คิดว่านั้นคือสิ่งที่ผู้คนคาดหวังว่าเขาบริจาคเงินไปเพื่อสิ่งนั้น เพราะมีแค่อาคารทางศาสนาเพื่อจ้างและฝึกฝนแก่นางชี ที่เชื่อฟังเท่านั้น คริศโตเฟอร์ฮิตเช่นกล่าว”
ไม่รู้อะไรที่น่าขนลุกมากกว่ากัน ตารางการทำงานของท่านจริงๆ หรือว่าเรื่องคนที่ทำงานให้ท่านและพระคาธอนิคยอมรับมันได้
แต่ บิล เดอรเลนฮิล ก็แย้งว่า “คุณแม่เทเรซ่าไม่สนใจในเรื่องใดๆทางการดูแลหลักทั้งนั้น สนใจเพียงแค่ต้องการขยายมันไปไห้ทั่วถึง”
เราลองไปดูบ้านของเธอที่เธอเสียชีวิตใน กันกัสต้า ไม่ไช่เรื่องที่น่าดีใจเท่าไหร่นัก
“ที่นั่นเรียกว่า บ้านแห่งความตาย เป็นสถานที่หลักของท่าน เป็นสถานที่ที่เงียบสงบที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ เป็นคำสั่งของคุณแม่เทเรซ่าเองไม่ไห้มีเตียงที่สบายนัก ก็เลยเป็นเตียงแบบง่ายๆมีห้องน้ำที่ง่ายๆที่เห็นกันอย่างจะแจ้ง ไม่มีการอนุญาต ให้ญาติ หรือเพื่อนเข้าเยี่ยม มันแปลกมากใช่ไหมครับ พวกเขาต้องนอนอยู่บนเตียงหรือนั่งบนนั้นตลอดเวลานานๆ” คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่นกล่าว
ผมก็เลยสงสัยเธอมีเงินตั้งมากมายแต่เธอกลับทำอะไรแบบนี้ที่สำนักนางชี นะเหรอ โอเค มันดูแย่มาก เราลองมาดูหนังสือเธอกันแล้วคุณจะเห็นชัดเลยว่าเธอใช้เงินในทางไหนกันบ้าง
“กองทุนการกุศลเพื่อมิชชันนารีเป็นกองทุนอินเดียอันเดียวที่ไม่ได้ตีพิมพ์ชี้แจงบัญชีการเงินให้กับทุกคนได้รับทราบส่วนใหญ่เป็นเงินชาวต่างชาติที่เก็บไว้ที่ธนาคารที่วาติกัน” ดร.เอารูส ชานเดอร์จี กล่าว
ถ้าเราอยากจะรู้เพิ่งเติมและรู้ให้ลึกกว่านั้น ก็ต้องหาคนในสักคน และทางรายการก็ได้ตัวมา ซึ่งก็คือ แคลี่ แดนฮาย อดีตนางชีที่ลาออกมาเป็นนักแสดงทอล์คโชว์ (เดี่ยวไมค์โครโฟนนั่นแหละ) และคุ้นเคยกับโบสถ์คาโทลิคเป็นอย่างดี และเคยทำงานเคียงข้างคุณแม่ เทเรซ่า ในนิวยอร์คด้วย สิ่งที่เธอพบมันน่าตกใจมาก
จากข้อมูลของ ดร.เอารูส ชานเดอร์จี คุนแม่เทเรซ่า สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเอาไว้มากมายทั่วโลก มากกว่า 100 แห่ง และใช้ชื่อของคุณแม่และองค์กรศาสนาที่ชื่อ Missionaries of Charity
“ผมไม่คิดว่านั้นคือสิ่งที่ผู้คนคาดหวังว่าเขาบริจาคเงินไปเพื่อสิ่งนั้น เพราะมีแค่อาคารทางศาสนาเพื่อจ้างและฝึกฝนแก่นางชี ที่เชื่อฟังเท่านั้น คริศโตเฟอร์ฮิตเช่นกล่าว”
ไม่รู้อะไรที่น่าขนลุกมากกว่ากัน ตารางการทำงานของท่านจริงๆ หรือว่าเรื่องคนที่ทำงานให้ท่านและพระคาธอนิคยอมรับมันได้
แต่ บิล เดอรเลนฮิล ก็แย้งว่า “คุณแม่เทเรซ่าไม่สนใจในเรื่องใดๆทางการดูแลหลักทั้งนั้น สนใจเพียงแค่ต้องการขยายมันไปไห้ทั่วถึง”
เราลองไปดูบ้านของเธอที่เธอเสียชีวิตใน กันกัสต้า ไม่ไช่เรื่องที่น่าดีใจเท่าไหร่นัก
“ที่นั่นเรียกว่า บ้านแห่งความตาย เป็นสถานที่หลักของท่าน เป็นสถานที่ที่เงียบสงบที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ เป็นคำสั่งของคุณแม่เทเรซ่าเองไม่ไห้มีเตียงที่สบายนัก ก็เลยเป็นเตียงแบบง่ายๆมีห้องน้ำที่ง่ายๆที่เห็นกันอย่างจะแจ้ง ไม่มีการอนุญาต ให้ญาติ หรือเพื่อนเข้าเยี่ยม มันแปลกมากใช่ไหมครับ พวกเขาต้องนอนอยู่บนเตียงหรือนั่งบนนั้นตลอดเวลานานๆ” คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่นกล่าว
ผมก็เลยสงสัยเธอมีเงินตั้งมากมายแต่เธอกลับทำอะไรแบบนี้ที่สำนักนางชี นะเหรอ โอเค มันดูแย่มาก เราลองมาดูหนังสือเธอกันแล้วคุณจะเห็นชัดเลยว่าเธอใช้เงินในทางไหนกันบ้าง
“กองทุนการกุศลเพื่อมิชชันนารีเป็นกองทุนอินเดียอันเดียวที่ไม่ได้ตีพิมพ์ชี้แจงบัญชีการเงินให้กับทุกคนได้รับทราบส่วนใหญ่เป็นเงินชาวต่างชาติที่เก็บไว้ที่ธนาคารที่วาติกัน” ดร.เอารูส ชานเดอร์จี กล่าว
ถ้าเราอยากจะรู้เพิ่งเติมและรู้ให้ลึกกว่านั้น ก็ต้องหาคนในสักคน และทางรายการก็ได้ตัวมา ซึ่งก็คือ แคลี่ แดนฮาย อดีตนางชีที่ลาออกมาเป็นนักแสดงทอล์คโชว์ (เดี่ยวไมค์โครโฟนนั่นแหละ) และคุ้นเคยกับโบสถ์คาโทลิคเป็นอย่างดี และเคยทำงานเคียงข้างคุณแม่ เทเรซ่า ในนิวยอร์คด้วย สิ่งที่เธอพบมันน่าตกใจมาก
แคลี่ แดนแฮม (Kelli Dunham) ในตอนที่เป็นนางชี (ซ้าย) กับตอนเป็นนักแสดงทอล์คโชว์ (ขวา)
“สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ฉันคิดว่า ท่านอยู่เบื้องหลังสำหรับความวุ่นวายที่ท่านได้สร้างมันขึ้นมาแน่นอนว่า ท่านมีส่วนที่เป็น ด้านมืด เช่นกัน” แคลี่ แดนแฮม กล่าว
ที่สำนักงานใหญ่ แคลี่ ถูกย้ายแบบสายฟ้าแลบ ท่ามกลางความมึนงงของผู้คนที่นั่น เพราะเธอถูกออกคำสั่ง ให้ทำทุกอย่างเหมือนที่คุณแม่เทเรซ่าทำ คือไม่ไห้สนใจต่อทุกสภาพอารมณ์ของคนเหล่านั้น ซึ่งเธอคิดว่าถ้าเป้าหมายของเหล่ามิชชันนารี ไม่ได้เป็นการรักผู้คนล่ะก็ มันก็ควรออกมาจากจุดนั้นดีกว่า แครี่ จึงลาออกจากการเป็นนางชีแครี่ยังกล่าวว่า “พวกเขาทำธุรกิจบนความเจ็บปวดของผู้คนที่หันมาหาที่พึ่ง ฉันคิดว่าพวกเขาเชื่อมั่นในความเจ็บปวดนั้น และมันยากที่จะทำสองอย่างพร้อมกัน”
แล้วเรื่องความเจ็บปวดที่คุณแม่เทเรซ่าทนล่ะ ท่านทำแบบเดียวกันหรือป่าว
“ท่านต้องการให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ในเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่พอตัวและชัดเจน” บิล เดอรเลนฮิล กล่าวแบบนั้น
“คุณแม่ไม่ใช่คนสุดท้ายที่สนใจเรื่องปากท้องของคนยากจนแบบนี้ ผมจะบอกว่ามีคนเป็นล้านๆที่เสียชีวิตจากงานของคุณแม่ อีกหลายล้านคนกลายเป็นคนจนที่จนกว่าเดิม โง่กว่าเดิม เจ็บป่วยมากขึ้น” คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่นกล่าวแย้ง
ที่สำนักงานใหญ่ แคลี่ ถูกย้ายแบบสายฟ้าแลบ ท่ามกลางความมึนงงของผู้คนที่นั่น เพราะเธอถูกออกคำสั่ง ให้ทำทุกอย่างเหมือนที่คุณแม่เทเรซ่าทำ คือไม่ไห้สนใจต่อทุกสภาพอารมณ์ของคนเหล่านั้น ซึ่งเธอคิดว่าถ้าเป้าหมายของเหล่ามิชชันนารี ไม่ได้เป็นการรักผู้คนล่ะก็ มันก็ควรออกมาจากจุดนั้นดีกว่า แครี่ จึงลาออกจากการเป็นนางชีแครี่ยังกล่าวว่า “พวกเขาทำธุรกิจบนความเจ็บปวดของผู้คนที่หันมาหาที่พึ่ง ฉันคิดว่าพวกเขาเชื่อมั่นในความเจ็บปวดนั้น และมันยากที่จะทำสองอย่างพร้อมกัน”
แล้วเรื่องความเจ็บปวดที่คุณแม่เทเรซ่าทนล่ะ ท่านทำแบบเดียวกันหรือป่าว
“ท่านต้องการให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ในเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่พอตัวและชัดเจน” บิล เดอรเลนฮิล กล่าวแบบนั้น
“คุณแม่ไม่ใช่คนสุดท้ายที่สนใจเรื่องปากท้องของคนยากจนแบบนี้ ผมจะบอกว่ามีคนเป็นล้านๆที่เสียชีวิตจากงานของคุณแม่ อีกหลายล้านคนกลายเป็นคนจนที่จนกว่าเดิม โง่กว่าเดิม เจ็บป่วยมากขึ้น” คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่นกล่าวแย้ง
ในเรื่องของคุณแม่เทเรซ่า บิล ได้เอ่ยถึงนามๆหนึ่งที่ชื่อมีว่า คานธี ตอนนี้คานธีได้ทำสิ่งดีๆให้กับโลกกลมๆใบนี้ และท่านคือใคร ท่านเป็นผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดียและศาสนาฮินดูเขาใช้หลักอหิงสาในการต่อสู้ปลดปล่อยให้หลุดจากการปกครองของอังกฤษ เดินทางด้วยเท้าไปไปยังภูมิภาคต่างๆในอินเดีย เพื่อขอร้องให้ชาวอินเดียที่เป็นมุสลิมและฮินดูหันมาสามัคคีกัน หยุดทะเลาะกัน จนสามารถสร้างความปรองดองระหว่างมุสลิมและฮินดูได้ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
แต่ปัญหากับคานธีนั้นไม่ไช่ส่วนของคานธีกับผลงานของท่าน "แต่สารคดีมุ่งประเด็นไปที่คำว่า “มหาตม” ต่างหากคำว่า มหาตม มีความหมายว่า ความน่านับถือ ความเป็นเทพ หรือนักบุญคนมักจะคิดกับท่านแบบนั้นเพราะท่านฉลาดมีเหตุผมพอฟังได้ แต่อย่างไรก็ตามท่านสมควรเป็นนักบุญจริงๆหรือเป็นเพียงชายสูงอายุผู้ต่อสู้แบบอหิงสา
เรามาดูเรื่องราวแห่งการชื่นชมกันก่อน อรุณ คานธี (Arun Gandhi) หลานทวดของ คานธี กล่าวว่า “ผมได้รับรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับท่าน และมันยอดมากครับ” “ผมคิดว่าท่านเป็นคนจริงใจมากคนหนึ่งซึ่งซื่อสัตย์กับสิ่งที่สัญญาไว้เสมอและเป็นคนตรงๆ” อรุณ คานธีกล่าว
หลังจากฟังฝั่งที่ชื่นชมแล้วเรามาดูอีกฝั่งกันดีกว่ากับนายพล จี บี ซิง (G.B. Singh) ผู้แต่งหนังสือ คานธี เบื้องหลังภายใต้หน้ากากนักบุญ (Gandhi Under Cross Examination) ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายตัวร้ายในอินเดียน่าโจน เขากล่าว “เบื้องหลังภาพลักษณ์ของ คานธี ที่คนยอมรับเสมอมามีอีกมากมายเกิดขึ้นครับ”
มาดูเรื่องราวที่ปิดบังที่ทำให้คานธีไม่สามารถเป็น นักบุญได้
จี บี ซิง ได้ศึกษาและวิเคราะห์คานธี มาถึง 21 ปี จากความสนใจพิเศษในวัยเด็กของเขา จนพบความจริงบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ ซึ่งเน้นไปที่ชีวิตวัยเด็กของคานธีที่ อัฟริกาใต้ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่วุ่นวายมากมายและการต่อต้านเรื่องราวของการเหยียดสีผิวซึ่งมีการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติชาวอินเดีย ไม่ไช่ชาวอัฟริกันพื้นเมืองผิวดำ
“การเมืองแบบคานธีในอัฟริกาใต้นั้นถูกผลักดันโดยการแบ่ง เชื้อชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเกลียดชังที่คนผิวดำที่ถูกเรียกว่าคาฟเฟิล หรือนิโกร ซึ่งแปลว่า การไม่เจริญ ไม่มีการศึกษา เหมือนกับสัตว์”
“การเมืองแบบคานธีในอัฟริกาใต้นั้นถูกผลักดันโดยการแบ่ง เชื้อชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเกลียดชังที่คนผิวดำที่ถูกเรียกว่าคาฟเฟิล หรือนิโกร ซึ่งแปลว่า การไม่เจริญ ไม่มีการศึกษา เหมือนกับสัตว์”
ตอนนี้ก่อนจะเปิดโปงเรื่องของคานธีในการเหยียดเชื้อชาตินั่นคือเหตุผลว่า “ทำไมเขาไม่สามารถเป็นนักบุญได้” แล้วลองอ่านสิ่งที่คานธี พูดกับคนผิวดำใน อัฟริกาใต้ ดูสิ
“วิญญาณของพวกนิโกรก็แค่ที่จะหาวัวควายไว้เยอะๆ เพื่อที่จะนำไปแลกผู้หญิงมาเป็นเมีย จากนั้นก็แค่ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ พวกเขาไม่มีสมองเป็นหนึ่งในสายพันธ์มนุษย์ที่ไม่ค่อยรู้จักมากนักในหมู่ชาวอินเดีย”
“ท่านไม่อยากเป็นพวกเดียวกับคนพวกนั้น ไม่ชอบอาหาร ไม่ชอบพฤติกรรม ท่านก็แค่ไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้นเอง” นายพล บิ จี ซิงกล่าว
หนังสือพิมพ์ India Opinian
แน่นอน คานธีตั้งหนังสือพิมพ์ India Opinian ซึ่งเขาแสดงความเห็นเรื่องราวการแบ่งแยกเชื้อชาติไปถึง 4 ภาษานายพล บิ จี ซิงกล่าวเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ไว้ว่า “คานธีเขียนไว้อย่างน้อย 14 คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์นั้น เป็นการกระตุ้นปลุกเร้าให้ชาวอินเดียเกลียดชังชาวผิวดำ”
แต่หลานทวดของคานธีแย้งว่า “ผมไม่เห็นด้วยที่ในเรื่องที่ คานธี เป็นพวกเหยียดเชื่อชาติ เขาอยู่คนละยุคกับเรา ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน”
ใช่คานธีมีชีวิตอยู่ในช่วงที่เห็นว่า การเหยียดเชื้อชาติเป็นเรื่องปกติ และคานธีก็เป็นปกติ และค่อนข้างชัดเจนว่าคานธีไม่สมควรกับคำว่า”นักบุญ”
“ถ้าคุณได้ไปอ่านเล่มที่ 8 – 9 ของหนังสือที่เป็นผลงานของ คานธีคุณจะเห็นงานเขียนด้วยลายมือของคานธีเองเกี่ยวกับเรื่องการเหยียดเชื่อชาติของคนผิวดำชาว อัฟริกัน” นายพล บิ จี ซิงกล่าว
แต่อรุน คานธีก็ตอบกลับมาว่า “คานธีไม่ได้อ้างว่าเป็นนักบุญเขาบอกว่าท่านก็มีจุดอ่อน เหมือนที่คนธรรมดามี หนึ่งในจุดอ่อนเหล่านั้นก็คือ Sex”
ถ้าจะพูดถึงเรื่องSEX ล่ะก็ นายพล บี จี ซิง ก็พูดถึงเรื่องนี้ว่า“ท่านนอนเปลือยการหลับไปกับผู้หญิงหลายคน”
“ใช่ ทั้งคานธีและผู้หญิงหลายคน เปลือยกายเช่นกัน”นายพล บิ จี ซิงกล่าว
“ทวดได้พยายามทดสอบตัวเองเพื่อที่จะหาคำตอบว่าเราจะควบคุมและเอาชนะ กิเลสได้หรือไม่เพราะนั่นคือจุดอ่อนของมนุษย์นั่นเอง” อรุณ คานธีกล่าวแย้ง
แต่ นายพล บิ จี ซิงกล่าวว่า “จริงๆแล้วนั้น สิ่งที่คานธีทำคือการสะสม น้ำเชื้อ เอาไว้เนื่องจากตรามตำราโยคะ โบราณบอกไว้ว่า จะทำให้จิตใจมีพลังมากขึ้น”
แน่นอนอั้นไว้จนหน้าเขียวแบบนั้นแต่เดี๋ยวก่อน ยังมีความเหลวไหลที่คานธี ทำเอาไว้อีก เพราะแหล่งข่าวบอกว่า คานธี ระวังเรื่องความสะอาดภายในมากและจะสวนล้างต่อหน้าผู้หญิงเหล่านั้น อย่างสม่ำเสมอ
แต่ อรุณ ก็แย้งมาว่า “ไม่จริง ทวดไม่เคยทำแบบนั้นกับ ผู้หญิงหรอกครับ”
นายพล บิ จี ซิง ก็สวนมาว่า “แต่การทำแบบนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคานธีก็ได้พระเจ้าจะถามคานธีเองว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าฝ่ายหญิงตอบไม่ได้ว่าเกิดขึ้น พระเจ้าก็พร้อมที่จะลงโทษ (ทำโทษ) ดังนั้นในตอนเช้าเรื่องทุกอย่างก็จะจบลงอย่างแน่นอน.........”
แต่หลานทวดของคานธีแย้งว่า “ผมไม่เห็นด้วยที่ในเรื่องที่ คานธี เป็นพวกเหยียดเชื่อชาติ เขาอยู่คนละยุคกับเรา ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน”
ใช่คานธีมีชีวิตอยู่ในช่วงที่เห็นว่า การเหยียดเชื้อชาติเป็นเรื่องปกติ และคานธีก็เป็นปกติ และค่อนข้างชัดเจนว่าคานธีไม่สมควรกับคำว่า”นักบุญ”
“ถ้าคุณได้ไปอ่านเล่มที่ 8 – 9 ของหนังสือที่เป็นผลงานของ คานธีคุณจะเห็นงานเขียนด้วยลายมือของคานธีเองเกี่ยวกับเรื่องการเหยียดเชื่อชาติของคนผิวดำชาว อัฟริกัน” นายพล บิ จี ซิงกล่าว
แต่อรุน คานธีก็ตอบกลับมาว่า “คานธีไม่ได้อ้างว่าเป็นนักบุญเขาบอกว่าท่านก็มีจุดอ่อน เหมือนที่คนธรรมดามี หนึ่งในจุดอ่อนเหล่านั้นก็คือ Sex”
ถ้าจะพูดถึงเรื่องSEX ล่ะก็ นายพล บี จี ซิง ก็พูดถึงเรื่องนี้ว่า“ท่านนอนเปลือยการหลับไปกับผู้หญิงหลายคน”
“ใช่ ทั้งคานธีและผู้หญิงหลายคน เปลือยกายเช่นกัน”นายพล บิ จี ซิงกล่าว
“ทวดได้พยายามทดสอบตัวเองเพื่อที่จะหาคำตอบว่าเราจะควบคุมและเอาชนะ กิเลสได้หรือไม่เพราะนั่นคือจุดอ่อนของมนุษย์นั่นเอง” อรุณ คานธีกล่าวแย้ง
แต่ นายพล บิ จี ซิงกล่าวว่า “จริงๆแล้วนั้น สิ่งที่คานธีทำคือการสะสม น้ำเชื้อ เอาไว้เนื่องจากตรามตำราโยคะ โบราณบอกไว้ว่า จะทำให้จิตใจมีพลังมากขึ้น”
แน่นอนอั้นไว้จนหน้าเขียวแบบนั้นแต่เดี๋ยวก่อน ยังมีความเหลวไหลที่คานธี ทำเอาไว้อีก เพราะแหล่งข่าวบอกว่า คานธี ระวังเรื่องความสะอาดภายในมากและจะสวนล้างต่อหน้าผู้หญิงเหล่านั้น อย่างสม่ำเสมอ
แต่ อรุณ ก็แย้งมาว่า “ไม่จริง ทวดไม่เคยทำแบบนั้นกับ ผู้หญิงหรอกครับ”
นายพล บิ จี ซิง ก็สวนมาว่า “แต่การทำแบบนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคานธีก็ได้พระเจ้าจะถามคานธีเองว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าฝ่ายหญิงตอบไม่ได้ว่าเกิดขึ้น พระเจ้าก็พร้อมที่จะลงโทษ (ทำโทษ) ดังนั้นในตอนเช้าเรื่องทุกอย่างก็จะจบลงอย่างแน่นอน.........”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาทำจะปรกติหรือไม่ผู้อ่านลองคิดดูแล้วกัน……………………….
ในที่สุดก็ถึงคนสุดท้ายที่จะพูดถึงต่อจากนี้ นั่นก็คือ องค์ดาไลลามะ จากทิเบต
แล้วท่านคือไคร? ดาไลลามะ คนที่กล่าวถึงอยู่นี้เป็นดาไลลามะองค์ที่ 14 ชื่อจริงๆก็คือ เทนซิน เกียตโซะ เป็นผู้นำจิตวิญญาณและผู้นำสูงสุดของชาวทิเบต ถึงแม้ว่าทางการของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะไม่ยินยอมก็ตาม เป็นประมุขแห่งพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตเกลุก(นิกายหมวกเหลือง) และได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1989 ผลงานที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักและนับถือของท่านก็คือเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเรียกร้องการปลดปล่อยธิเบตอย่างต่อเนื่อง และอย่างสันติและเสนอหนทาง แก้ไขปัญหา โดยเน้น เรื่องความอดทน และการเคารพ ซึ่งกันและกัน เพื่อคุ้มครองมรดก ทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของประชาชนทิเบต
และเมื่อตั้งแต่ธิเบตเสียดินแดนบ้านเกิดให้กับพลังของคอมมิวนิสต์จีนในปี 1959 ดาไลลามะก็เดินทางไปทั่วโลกใช้จิตวิทยาขั้นสูงประกอบด้วยรอยยิ้ม และ แจกจ่ายความสุขพร้อมทั้งส่งข้อความช่วยเหลือเพื่อปลดปล่อยธิเบตออกจากจีน ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ เรามาฟัง ไมเคิล พาลินตี้ (Michael Parenti) นักเขียนเชิงการเมือง ได้กล่าวว่า “ความคิดนี้เกิดมาจากการอ่อนน้อมถ่อมตน ชายผู้ทรงศีลกับชุดง่ายๆ มีลูกปัดไว้สวดมนต์ แต่นั้นไม่ไช่บทสรุปของการเป็นดาไลลามะ”
แล้วท่านคือไคร? ดาไลลามะ คนที่กล่าวถึงอยู่นี้เป็นดาไลลามะองค์ที่ 14 ชื่อจริงๆก็คือ เทนซิน เกียตโซะ เป็นผู้นำจิตวิญญาณและผู้นำสูงสุดของชาวทิเบต ถึงแม้ว่าทางการของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะไม่ยินยอมก็ตาม เป็นประมุขแห่งพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตเกลุก(นิกายหมวกเหลือง) และได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1989 ผลงานที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักและนับถือของท่านก็คือเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเรียกร้องการปลดปล่อยธิเบตอย่างต่อเนื่อง และอย่างสันติและเสนอหนทาง แก้ไขปัญหา โดยเน้น เรื่องความอดทน และการเคารพ ซึ่งกันและกัน เพื่อคุ้มครองมรดก ทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของประชาชนทิเบต
และเมื่อตั้งแต่ธิเบตเสียดินแดนบ้านเกิดให้กับพลังของคอมมิวนิสต์จีนในปี 1959 ดาไลลามะก็เดินทางไปทั่วโลกใช้จิตวิทยาขั้นสูงประกอบด้วยรอยยิ้ม และ แจกจ่ายความสุขพร้อมทั้งส่งข้อความช่วยเหลือเพื่อปลดปล่อยธิเบตออกจากจีน ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ เรามาฟัง ไมเคิล พาลินตี้ (Michael Parenti) นักเขียนเชิงการเมือง ได้กล่าวว่า “ความคิดนี้เกิดมาจากการอ่อนน้อมถ่อมตน ชายผู้ทรงศีลกับชุดง่ายๆ มีลูกปัดไว้สวดมนต์ แต่นั้นไม่ไช่บทสรุปของการเป็นดาไลลามะ”
ไมเคิล พาลินตี้ (Michael Parenti)
ธิเบตนั้นจะเป็นแดนสวรรค์ที่แท้จริงก็ต่อเมื่อ คุณเป็น “ดาไลลามะ” (เท่านั้น ย้ำว่า เท่านั้น!!) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงอยากได้มันคืน เขามีราชวังและคนรับใช้มากมายที่นั่น ชาวธิเบตที่เหลืออาศัยอยู่ในกระท่อมเก่าๆ กินเพียงข้าวบาร์เลย์และเนย จากนมของจามรี
“แต่กลับมีนักบวชที่มีชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย สุขสบายมั่งคั่งเต็มไปด้วยคนรับใช้ที่มีชีวิตแร้นแค้นเป็นที่สุดอยู่ที่นั่น” ไมเคิล พาลินตี้ กล่าวเสริม
ถ้าคุณฝ่าฝืนกฎก็จะถูกลงโทษ ตั้งแต่ควักลูกตา ดึงลิ้น หรือการคว้านท้อง ดาไลลามะหรือจอมเผด็จการกันล่ะนั่น…… และตั้งแต่ที่ดาไลลามะหนีออกจากธิเบต จีนก็ได้แนะนำ พัฒนาระบบการศึกษาที่ดีขึ้น มีน้ำประปาใช้ ไฟฟ้า บางทีอาจทำให้ชีวิตดีขึ้น และแน่นอนที่สุด จีนยังทุ่มเงินมหาศาลไปที่ค่ายแรงงานและที่คุมขัง เน้นที่การพัฒนามากมาย
นอกจากนั้น จากบทความของทางราชการลับที่ถูกเปิดเผยว่า ดาไลลามะ ใช้เงินของ CIA 180,000 ดอลล่าทุกปี เป็นค่าใช้จ่ายทั่วไป และอีก1,500,000 ดอลล่าจากหน่วยงานสายสืบ เพื่อช่วยเหลือกองโจรชาวธิเบตที่ต่อต้านจีน ซึ่งรวมถึงจัดตั้งหน่วยงานเพื่อฝึกฝนกองโจรเหล่านั้นที่ โคโลลาโด้อืม…….บางทีพวกนั้นอาจเป็นกองโจรที่ไม่มีอันตรายไดๆ เลยก็ได้
(อ่านเพิ่มเติม http://transmissionsmedia.com/the-dark-side-of-dalai-lama)
(อ่านเพิ่มเติม http://transmissionsmedia.com/the-dark-side-of-dalai-lama)
เพื่อให้เกิดความยุติธรรมจึงไม่มีการเบิกจ่ายไดๆ อีก เมื่อประชาชนรู้เรื่องมันกลายเป็นปัญหาในการประชาสัมพันธ์ทันที จึงไม่มีเอกสารใดๆเล็ดลอดออกมาอีก ดาไลลามะ จึงต้องหากลุ่มคนใหม่ๆ ที่หลอกง่าย หรือบรรดาเซเลปดังๆ
นอกจากเรื่องเงินของ CIA แล้วในบทความเรื่อง”สมบัติองค์ลามะ”เรียนเรียงโดย โดย สำราญ ภักดีพุทธคุณได้กล่าวถึงเงินมหาศาลซึ่งได้มาจากการส่งเพชรที่ได้มาส่วนใหญ่(จากลายแทงโบราณที่ ดาไลลามะเพิ่งค้นพบ) เข้าสู่ตลาดประมูลลับถึงสามแห่งด้วยกันในยุโรป คือในลอนดอน ปารีสและกรุงโคเป็นเฮเก็น และประมาณกันว่าค่าของมันรวมกันมากกว่า ๑,๒๐๐ ล้านดอลลาร์ขึ้นไป (กว่าสามหมื่นล้านบาท) ซึ่งนั่นหมายความว่าค่าของมันเท่ากับหนึ่งในสี่ของราคาเพชรพลอยที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดซื้อขายของโลกเลยทีเดียวส่วนเรื่องราวการค้นพบเพรชมันยาวมากและด้วยข้อจำกัดของหน้าเอาเป็นว่าเดี๋ยวผมลงลิ้งบทความไว้ท้ายบทความนี้แล้วกันนะครับ
แล้วก็มีคำถามตามมาว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าดาไลลามะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ไมเคิล พาลินตี้ ก็ให้คำตอบไว้ว่า “ถ้าเกิดแบบนั้น เขาคงต้องการไล่จีนออกไป และคงนำเอาพิธีกรรมเรื่องลามะกลับมาอีกและจะปกครองในระบบที่นักบวชเป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม อำนาจทุกอย่างจะมุ่งสู่ตัวเขา และธิเบตจะกลับไปเหมือนเมื่อก่อนจะมีการพัฒนา……………”
จริงๆจุดประสงค์ของผม (ความจริงควรจะเป็นของรายการมากกว่า) ไม่ได้ต้องการทำลายบุคลทั้งสาม แต่เป็นการเอาสิ่งที่เรียกว่า “นักบุญ” ออกไป แล้วทำให้พวกเขาเป็นบุคล บุคลนึ่งที่มีด้านมืด ความลับ และมีโอกาสที่จะผิดพลาดได้เหมือนๆกับเรา เขาไม่ได้ต้องการบอกว่า “เฮ้ย!!!! สามคนนั้นมันเคยทำอะไรไม่ดีมาก่อน อย่าไปนับถือเลย” แต่เป็น “แม้แต่คนดีก็มีด้านมืดและผลประโยชน์แอบแฝงได้เหมือนกัน”
และรายการก็ไม่ได้มีปัญหากับสามคนนั้น แต่มีปัญหากับคนที่นับถือพวกเขาจนถึงขั้นคลั่งไคล้จนยกย่อง เชิดชู ให้พวกเขาทั้ง 3 เป็นราวกับดั่งเทพที่ไร้มลทิน ขาวสะอาด จนลืมไปว่าพวกเขาก็แค่มนุษย์ธรรมดาๆที่สามารถทำผิดและมีความลับได้เหมือนกับเรา อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะเชื่อฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ตามแต่ผมไม่สามมารถบังคับได้ เพราะเป็นสิทธิส่วนตัวของท่านผู้อ่านและขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกมองที่จุดไหน เพราะในโลกใบนี้คนเรามีหลากหลายด้านทั้งดีและไม่ดี เพียงแต่เราต้องแยกแยะให้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เราควรเลือกที่จะมองด้านดีของท่านเหล่านี้มาใช้อย่างสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และควรเลือกใช้ศรัทธาอย่างมีสติไม่เช่นนั้นคำว่าศรัทธาคงไม่ต่างอะไรกับคำว่า”งมงาย”
เอาล่ะก่อนจะจบบทความนี้ไปผมขอฝากคำพูดที่ ทอมไซ ซินกี้ และ คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น ได้พูดไว้ก่อนจบรายการว่าดังนี้
“ในสังคมปัจจุบันเรามีฮีโร่มากมายเกิดขึ้นจนล้นไปหมด เมื่อคุณคิดถึง คานธี แม่ชีเทเรซ่า ดาไลลามะ รู้ไหมว่านั่นเป็นเพียงภาพของวัฒนธรรม แต่ภายในนั้นพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีความต้องการพื้นฐานเหมือนๆกับเรา”
ทอม ไซซินกี้ (Tom Pyszczynski) นักจิตวิทยาสังคมแห่งมหาวิทยาลัยโคโลลาโด้
ทอม ไซซินกี้ (Tom Pyszczynski) นักจิตวิทยาสังคมแห่งมหาวิทยาลัยโคโลลาโด้
“ความศรัทธามีอยู่ในจิตใจเสมอและมีอยู่ด้วยเหตุผลและมีเพียงหนึ่งเดียวอยู่รอบๆเรา ทำให้เราต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ นั่นคือความต้องการของเราที่จะเชื่อมันและไม่ศรัทธาบางอย่างที่น่ากลัว หลอกลวง และเป็นไปในทางที่ไม่ดี ในคุณความดีทั้งหมดที่มี หรือกำลังจะมีนั้น ความศรัทธาจะต้องเป็นสิ่งที่สูงสุดที่เราควรยึดมั่นเอาไว้”
คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น ผู้เขียนหนังสือ The Missionary Position
คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น ผู้เขียนหนังสือ The Missionary Position
ทิ้งท้าย
บทความเรื่อง สมบัติของดาไลลามะ เรียบเรียงโดยสำราญ ภักดีพุทธคุณสามารถอ่านได้ที่ http://www.gmcities.com/board/index.php?topic=2405.0 (หรือถ้าขี้เกียจพิมพ์ให้พิมพ์คำว่า “สมบัติของดาไลลามะ”ใน Google เจอแน่นอนครับ และที่สำคัญโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ)
และขอไว้อาลัยให้กับ คริศโตเฟอร์ ฮิตเช่น ผู้เขียนหนังสือ The Missionary Position เพราะเขาได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหารเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2011 รวมอายุได้ 62 ปี
Comments
Post a Comment